โรคเครียด
(Acute
Stress Disorder)
โรคเครียด (Acute Stress Disorder) คือ
ภาวะที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ร้ายแรง
ซึ่งภาวะดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายและจิตใจ
ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด จะเกิดอาการเครียดประมาณหนึ่งเดือน หากเกิดอาการนานกว่านั้นจะกลายเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
(Posttraumatic Stress Disorder: PTSD)
โดยทั่วไปแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย
ร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสู้หรือหนี (Fight-or-Flight)
ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว
และความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดจะรู้สึกกลัว หวาดระแวง
หรือตื่นตระหนกหลังเผชิญสถานการณ์อันตราย ทั้งนี้ อาจรู้สึกวิตกกังวล ว้าวุ่น
และฟุ้งซ่าน หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม
มนุษย์เราจะประสบภาวะเครียดจากสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ
สถานการณ์บางอย่างอาจทำให้คนหนึ่งเกิดความเครียดได้
ในขณะที่อีกคนอาจรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้
และไม่รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สาเหตุโรคเครียด
โรคเครียดมีสาเหตุมาจากการพบเจอหรือรับรู้เหตุการณ์อันตรายที่ร้ายแรงมาก
โดยเหตุการณ์นั้นทำให้รู้สึกกลัว ตื่นตระหนก หรือรู้สึกสะเทือนขวัญ เช่น
การประสบอุบัติเหตุจนเกือบเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
รวมทั้งทราบข่าวการเสียชีวิต ประสบอุบัติเหตุ หรือการป่วยร้ายแรงของคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ทั้งนี้
เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดโรคเครียดซึ่งพบได้ทั่วไปนั้น
มักเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการออกรบของทหาร ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกโจรปล้น
ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือทราบข่าวร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว
นอกจากนี้ โรคเครียดยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย โดยผู้ที่เสียงป่วยเป็นโรคเครียดได้สูง
มักมีลักษณะ ดังนี้
1.เคยเผชิญเหตุการณ์อันตรายอย่างรุนแรงในอดีต
2.มีประวัติป่วยเป็นโรคเครียดหรือภาวะเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
3.มีประวัติประสบปัญหาสุขภาพจิตบางอย่าง
4.มีประวัติว่าเกิดอาการของโรคดิสโซสิเอทีฟเมื่อเผชิญเหตุการณ์อันตราย
เช่น หลงลืมตัวเองหรือสิ่งต่าง ๆ อารมณ์แปรปรวนกะทันหัน
วิตกกังวลหรือรู้สึกซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคเครียด
ผู้ที่ผ่านการเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรง
อาจเกิดอาการของโรคเครียดได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เกิดอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยสาเหตุ
โดยแพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบหรือได้รับรู้
รวมทั้งสอบถามอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย ทั้งนี้ เมื่อได้รับการตรวจแล้ว
แพทย์อาจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการป่วยว่า เกิดจากสาเหตุอื่นหรือไม่ เช่น
การใช้สารเสพติด ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางอย่าง ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หากอาการที่ผู้ป่วยเป็นไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น
ก็แสดงว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคเครียด
การรักษาโรคเครียด
วิธีรักษาโรคเครียดคือการรับมืออาการของโรคที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
ผู้ป่วยควรเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว
และพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนเพื่อระบายความเครียดอย่างไรก็ตาม
ผู้ป่วยที่เกิดอาการรุนแรงหรือเกิดความเครียดเรื้อรัง จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
1.ปรึกษาแพทย์ การปรึกษาจิตแพทย์ถือเป็นวิธีรักษาโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเครียดที่เกิดอาการรุนแรงและเป็นมานาน
โดยแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยจัดการอาการของโรคที่เกิดขึ้นได้
2.บำบัดความคิดและพฤติกรรม ผู้ป่วยโรคเครียดที่เกิดความวิตกกังวลและอาการไม่ดีขึ้น
จะได้รับการรักษาด้วยวิธีบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioural Therapy:
CBT) การบำบัดความคิดและพฤติกรรมเป็นวิธีจิตบำบัดที่มีแนวคิดว่าความคิดบางอย่างของผู้ป่วยส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต
ผู้ป่วยโรคเครียดอาจได้รับการบำบัดระยะสั้น
โดยแพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วย
รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าความคิดบางอย่างนั้นไม่ถูกต้อง
และปรับทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ
ให้มองทุกอย่างได้ถูกต้องและตรงตามความเป็นจริง
3.ใช้ยารักษา แพทย์อาจจ่ายยารักษาโรคเครียดให้แก่ผู้ป่วยบางราย
โดยผู้ป่วยมักจะได้รับการรักษาด้วยยาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
เพื่อบรรเทาอาการปวดของร่างกาย ปัญหาการนอนหลับ หรืออาการซึมเศร้า
โดยยาที่ใช้รักษาโรคเครียด ได้แก่
4.เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-Blocker) ยานี้จะช่วยบรรเทาอาการป่วยทางร่างกายซึ่งเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา
เช่น อาการหัวใจเต้นเร็ว ผู้ป่วยรับประทานเมื่อเกิดอาการป่วย เนื่องจากเบต้า
บล็อกเกอร์ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาระงับประสาท จึงไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง
ส่งผลต่อการทำงานต่าง ๆ หรือทำให้ผู้ป่วยเสพติด
5.ไดอะซีแพม(Diazepam) ยาตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน
(Benzodiapines) ซึ่งเป็นยาระงับประสาท
แพทย์ไม่นิยมนำมาใช้รักษาผู้ป่วย
เว้นแต่บางกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาไดอะซีแพม
ซึ่งจะใช้รักษาเป็นระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ยาไดอะซีแพมอาจทำให้ผู้ป่วยเสพติดยา
และประสิทธิภาพในการรักษาเสื่อมลงหากผู้ป่วยใช้ยาดังกล่าวเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ แพทย์อาจจ่ายยาอื่น ๆ
เพื่อบรรเทาอาการของโรค เช่น ยาระงับอาการวิตกกังวล ยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ
(Selective
Serotonin Reuptake Inhibitors: SSRIs) และยาต้านซึมเศร้ากลุ่มอื่น
ๆ หรือรักษาจิตบำบัดด้วยการสะกดจิต (Hypnotherapy) ซึ่งพบในการรักษาไม่มากนัก
ส่วนผู้ป่วยที่เสี่ยงฆ่าตัวตายหรือมีแนวโน้มทำร้ายผู้อื่น
จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเครียด
ผู้ที่เกิดความเครียดเล็ก ๆ น้อย
ๆ เป็นประจำควรดูแลตัวเอง โดยหากิจกรรมอย่างอื่นทำยามว่าง
เพื่อให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งนี้ ผู้ที่เกิดความเครียดเรื้อรังเป็นเวลานาน
อาจประสบปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนี้
1.โรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ ผู้ป่วยโรคเครียดบางรายอาจมีอาการของโรคนานกว่า 1 เดือน
โดยอาการเครียดจะรุนแรงขึ้นและทำให้ดำเนินชีวิตตามปกติได้ยาก
ซึ่งอาการดังกล่าวจะทำให้ป่วยเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงไม่ทำให้อาการของโรคแย่ลง ทั้งนี้ ผู้ป่วยภาวะเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญร้อยละ
50 รักษาให้หายได้ภายใน 6 เดือน
ในขณะที่ผู้ป่วยรายอื่นอาจประสบภาวะดังกล่าวนานหลายปี
2.ปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ ผู้ป่วยโรคเครียดที่ไม่ได้รับการรักษา
และมีอาการของโรคเรื้อรังอาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวลหรือบุคลิกภาพแปรปรวน
การป้องกันโรคเครียด
โรคเครียดเป็นปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้ยากเนื่องจากสถานการณ์อันตรายอันเป็นสาเหตุของโรคเครียดนั้น
ควบคุมไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเครียดดูแลตนเองและจัดการอาการของโรคไม่ให้แย่ลงได้โดยปฏิบัติดังนี้
1.หลังจากเผชิญสถานการณ์ร้ายแรง
ต้องรีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อช่วยลดโอกาสป่วยเป็นโรคเครียด
2.ผู้ที่ประกอบอาชีพซึ่งเสี่ยงเผชิญสถานการณ์อันตราย
เช่น ทหาร อาจต้องเข้ารับการฝึกซ้อมรับมือเหตุการณ์อันตรายและปรึกษาจิตแพทย์
เพื่อเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวและลดโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคเครียด
3.ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
4.ฝึกหายใจลึก ๆ ทำสมาธิ
เล่นโยคะ หรือนวด เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย รวมทั้งทำจิตใจให้แจ่มใส
5.พบปะสังสรรค์กับเพื่อน
หรือพูดคุยกับครอบครัว
6.หางานอดิเรกทำในยามว่าง เช่น
อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง
7.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน
8.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
รวมทั้งงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ
สัญญาณของความเครียด
อาการทางจิตใจ
1.ซึมเศร้า หดหู่ หมดหวัง
2.รู้สึกแย่เกี่ยวกับตนเอง รู้สึกไร้ค่า ขาดความมั่นใจ
3.หลีกหนีสังคม หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือพบปะผู้คน
4.กระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย เจ้าอารมณ์
5.ไม่สามารถผ่อนคลายอารมณ์ได้ หรือสงบจิตใจลงได้ยาก
6.ควบคุมตนเองไม่ได้ หรือควบคุมตนเองได้ไม่ดี
อาการทางร่างกาย
1.ปวดหัว
2.นอนไม่หลับ
3.ไม่มีเรี่ยวแรง พลังงานต่ำ
4.กัดฟันแน่น ขากรรไกรตึง
5.ปากแห้ง กลืนอาหารลำบาก
6.ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้อาเจียน
7.เจ็บ ปวด หรือรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย
8.เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว
9.มือเย็น เท้าเย็น หรือมีเหงื่อออกมากที่มือและเท้า
10.ป่วยเป็นหวัด หรือมีอาการจากการติดเชื้อต่าง ๆ บ่อย ๆ
11.ตื่นตระหนก ตัวสั่น ได้ยินเสียงแว่วในหู
12.ไม่มีความต้องการ หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
อาการด้านการรู้คิด
1.ขี้หลงขี้ลืม
2.วิตกกังวลอยู่เสมอ
3.ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดเรื่องใดได้นาน
4.มีความคิดตีกันอยู่ในหัว
5.จัดระบบความคิดได้ไม่ดี
6.คิด พิจารณา หรือตัดสินใจได้ไม่ดี
7.มองโลกแง่ร้าย มองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ
อาการด้านพฤติกรรม
1.เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ไม่อยากกินอะไรเลย หรือกินมากเกินไป
2.มีพฤติกรรมที่เป็นผลจากระบบประสาท อารมณ์ และความคิด เช่น
การเดินไปเดินมา หลุกหลิกอยู่ไม่นิ่ง อยู่กับที่นาน ๆ ไม่ได้ กัดนิ้ว เป็นต้น
3.ขาดความรับผิดชอบ หลีกเลี่ยงงานหรือภาระหน้าที่ ผัดวันประกันพรุ่ง
4.ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น ใช้ยาหรือสารเสพติดมากขึ้น สูบบุหรี่จัดขึ้น
เครียดแล้วมีผลต่อร่างกายอย่างไร ?
เมื่อคนเราเผชิญกับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความเครียด
ร่างกายจะหลั่งสารเคมีและฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการ ความคิด
หรือพฤติกรรมที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดนั้น ในบางกรณี
ความเครียดที่เกิดขึ้นก็เป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น หากอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงหรือน่าตื่นเต้น
ชีพจรจะเต้นแรง หายใจเร็ว กล้ามเนื้อตึง สมองใช้ออกซิเจนมากขึ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลไกในการปรับสมดุลเพื่อการอยู่รอด
โดยกระบวนการเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
แต่หากเป็นความเครียดเรื้อรังที่เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างยาวนาน
แม้เป็นกระบวนการหลั่งสารเคมีตัวเดียวกัน
แต่จะส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาที่เกินกว่าเพียงเพื่อปรับสมดุลเพื่อการอยู่รอดในชั่วขณะนั้น
อย่างระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้น้อยลง ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายหรือระบบสืบพันธุ์
ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและยิ่งเกิดความเครียดเป็นระยะเวลานานเท่าใด
ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ประเภทของความเครียดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพร่างกายและจิตใจ
ได้แก่
1.ความเครียดเป็นกิจวัตร ที่เกี่ยวข้องกับความกดดันจากครอบครัว
การทำงานและภาระรับผิดชอบในแต่ละวัน
2.ความเครียดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในด้านลบอย่างกะทันหัน
เช่น ตกงาน หย่าร้าง การเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ
3.ความเครียดที่เกิดจากเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก เช่น
อุบัติเหตุร้ายแรง ประสบภัยธรรมชาติ ผ่านประสบการณ์ในสงคราม
หรือเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายต่อชีวิต
ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดแต่ละประเภทในรูปแบบอาการที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
บางคนอาจมีอาการส่วนใหญ่ในระบบย่อยอาหาร ในขณะที่บางคนอาจปวดหัว มีปัญหาการนอนหลับ
ขี้หงุดหงิด หรือมีอารมณ์ซึมเศร้า โดยผู้เผชิญความเครียดอย่างเรื้อรังเหล่านี้ จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการป่วยด้วยการติดเชื้อไวรัส
อย่างเป็นไข้หวัดหรือมีอาการหวัดบ่อยและรุนแรงขึ้น
ซึ่งอาจมีผลทำให้วัคซีนไข้หวัดมีประสิทธิผลทางการรักษาที่ลดต่ำลงไปด้วย
ความเครียดจากกิจวัตรประจำวัน
เป็นประเภทของความเครียดที่สังเกตสัญญาณของอาการได้ยากที่สุด และจะสามารถเกิดขึ้นและส่งผลกระทบในระยะยาวได้มากกว่าความเครียดแบบกะทันหันหรือความเครียดจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ
โดยความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้
ดังนี้
1.ปัญหาสุขภาพจิต: ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพ
2.ปัญหาประจำเดือน: รอบการมีประจำเดือนยาวนานหรือสั้นกว่าปกติ
ประจำเดือนไม่มา หรือปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ
3.ปัญหาผิวหนังและรูขุมขน: เกิดสิว ผื่น ผิวหนังอักเสบ (Eczema) สะเก็ดเงิน และผมร่วงศีรษะล้านถาวร
4.ปัญหาระบบทางเดินอาหาร: โรคกรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ
โรคลำไส้แปรปรวน
5.สมรรถภาพทางเพศ: เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว
ไม่มีความต้องการทางเพศ
6.โรคความผิดปกติของพฤติกรรมการกิน: โรคคลั่งผอมอะนอเร็กเซีย
(Anorexia) ที่ผู้ป่วยมักอดอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อลดน้ำหนักและทำให้ตนเองผอม
โรคบูลิเมีย (Bulimia) ที่ควบคุมการกินไม่ได้
โดยผู้ป่วยจะกินมากผิดปกติก่อนจะชดเชยด้วยการอาเจียนหรือรีบทำให้อาหารที่กินไปออกมาจากร่างกายในภายหลัง
โรคกินมากผิดปกติ (Binge Eating Disorder) โดยผู้ป่วยกินอาหารปริมาณมากและไม่สามารถควบคุมการกินของตนเองได้เป็นช่วง
ๆ
7.โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง
โรคความผิดปกติในการทำงานของหัวใจ หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
โรคหลอดเลือดสมองแตกหรือตีบตัน
เคล็ดไม่ลับ รับมือความเครียด
ความเครียดสามารถเป็นเหตุทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้หากถูกปล่อยทิ้งไว้นาน
ๆ โดยไม่ได้รับการแก้ไข
ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีรับมือจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม
เพื่อผ่อนคลายความเครียดให้บรรเทาลง และผ่านพ้นช่วงเวลาที่ตึงเครียดไปได้ด้วยดี
วิธีการรับมือกับความเครียดที่ควรเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ ได้แก่
1.สังเกตปฏิกิริยาทางร่างกายที่ตอบสนองต่อความเครียด สัญญาณสำคัญที่อาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
เช่น ซึมเศร้า หงุดหงิด โกรธง่าย พลังงานต่ำ มีปัญหาในการนอน ดื่มแอลกอฮอล์
ใช้ยาหรือสารเสพติด
2.หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาอย่างผิดวิธี ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
ไม่ใช้สารเสพติด หรือใช้ผลข้างเคียงของยารักษาในทางที่ผิดเพื่อบรรเทาความเครียด
3.วางแผนจัดการกับความเครียดด้วยตนเอง การวางแผนจัดการกับความเครียด
ควรทราบก่อนว่าสิ่งใดที่เป็นปัจจัยก่อความเครียด
หากยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เครียด ให้จดบันทึกเกี่ยวกับความเครียดในช่วงเวลา 2-4 สัปดาห์ แล้วจึงทบทวนว่าสาเหตุของความเครียดที่กำลังเผชิญคืออะไร สิ่งที่ต้องจดลงในบันทึกความเครียด
ได้แก่ วันที่ เวลา และสถานที่ที่เกิดความเครียด สิ่งที่กำลังทำในขณะนั้น
คนที่อยู่ด้วยในขณะนั้น ความรู้สึกและความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
จากนั้นทำอะไรต่อ มีอาการทางร่างกายอย่างไร
แล้วให้คะแนนระดับความเครียดที่เกิดขึ้นจาก 0-10 (ไม่เครียด-เครียดมากที่สุด) หลังจากจดบันทึกแล้ว
ให้ทบทวนว่าสาเหตุที่ทำให้เครียดคืออะไร จะมีวิธีแก้ไขได้อย่างไร
แล้ววางแผนรับมือว่าจะทำอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้ความกดดันเหล่านั้นที่ทำให้เกิดความเครียด
4.จัดลำดับความสำคัญ เรียงลำดับและคัดแยกสิ่งที่ต้องทำก่อนเป็นอันดับต้น ๆ
กับสิ่งที่สามารถทำทีหลังได้ จดบันทึก วางแผนการทำงาน
แล้วปฏิบัติตามกำหนดการที่วางแผนไว้
โดยรู้จักที่จะปฏิเสธภาระงานหรือความรับผิดชอบที่เกินกำลัง
หรือมีปริมาณมากเกินกว่าจะบริหารเวลาได้ตามกำหนด
เมื่อทำงานเสร็จก็บันทึกสิ่งที่ทำสำเร็จลุล่วงไปแล้ว
ไม่ควรพะวงหรือลงบันทึกเกี่ยวกับงานที่ไม่สามารถทำได้
5.กำลังใจ และการสนับสนุนทางอารมณ์จากบุคคลใกล้ชิด เป็นหนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดได้ผ่อนคลายและรู้สึกดีขึ้น
โดยสามารถพูดคุย ปรึกษา ระบายปัญหา หรือหาวิธีผ่อนคลายความเครียดร่วมกับเพื่อน
ครอบครัว หรือคนรัก
6.รู้จักปล่อยวาง ไม่จมอยู่กับปัญหา
ยอมรับในสิ่งที่ต้องเผชิญว่าในบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
หากไม่สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง หรือมีความเครียดและเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถหาวิธีผ่อนคลายได้ด้วยตนเอง
ควรไปปรึกษาบุคคลใกล้ชิดและผู้เชี่ยวชาญอย่างจิตแพทย์
7.ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ดีต่อสุขภาพ และถูกสุขอนามัย การมีสุขภาพดีจะส่งผลดีต่อระบบของอวัยวะต่าง ๆ
ภายในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ และมีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง
แล้วควรหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด ดูหนัง ฟังเพลง
หรือออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนนอกบ้านบ้าง เล่นกีฬา
หรือออกกำลังกายด้วยวิธีที่เหมาะสมต่อสภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอประมาณ 30 นาทีต่อวัน การออกกำลังกายจะช่วยปรับอารมณ์และผ่อนคลายความเครียดลงได้ อาจทำกิจกรรมง่าย ๆ
ที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ อย่างการเดิน การเล่นโยคะ หรือไทเก๊ก
รวมไปถึงการทำสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก การหายใจเข้าลึก ๆ
จะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตลง
8.ขอความช่วยเหลือ หากไม่สามารถจัดการความเครียดได้ด้วยตนเอง
ต้องใช้แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดแก้ปัญหา หรือเคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
ให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวที่ทุกข์ใจและทำให้เกิดความเครียด
หรือเข้าร่วมกลุ่มบำบัดสนับสนุนภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ
ชี้แนะแนวทางการแก้ไขปัญหา การวางแผนรับมือและบรรเทาความเครียด
และรับกำลังใจสนับสนุนซึ่งกันและกันภายในกลุ่มบำบัด
9.หาวิธีรักษา ทั้งอาการป่วยที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเครียด
และอาการที่เกิดขึ้นจากความเครียด เช่น ปวดหัว สามารถกินยากลุ่มยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอลและไอบูโพรเฟนเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
นอนไม่หลับ
ควรปรับเปลี่ยนวิสัยการนอนและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับอย่างการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
จำพวกชาหรือกาแฟ หากท้องเสีย ควรดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ
เพื่อทดแทนน้ำที่ร่างกายเสียไปและป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ
ส่วนอาการด้านอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม สามารถฝึกปรับอารมณ์
ความคิด หรือพฤติกรรมให้เหมาะสมได้ด้วยตนเอง
หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาตามขั้นตอน
ทั้งการเข้ารับการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) โดยวิธีการนี้สามารถใช้บำบัดโรคความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน
อย่างอะนอเร็กเซียและบูลิเมีย และยังสามารถบำบัดผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน
อย่างอาการนอนไม่หลับได้ด้วย
การรับยารักษาที่ต้องใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น
เช่น ภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล แพทย์อาจจ่ายยาต้านเศร้า (Antidepressant) ซึ่งจะออกฤทธิ์ต่อสารเคมีในสมอง
อย่างเซโรโทนินและนอร์อะดรีนาลีน
ช่วยปรับอารมณ์ความรู้สึกแก้ปัญหาความหดหู่ซึมเศร้าและความวิตกกังวลที่เกิดจากความเครียด
หรือยารักษาภาวะวิตกกังวล (Antianxiety) ที่ใช้ลดความวิตกกังวลจนทำให้เกิดความเครียด
ความเครียดเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิต
แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดเหมือนอาการป่วย
แต่การรู้จักจัดการบริหารความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
จะทำให้สามารถเรียนรู้ทักษะที่จะอยู่และรับมือกับความเครียดได้ในโอกาสต่อ ๆ ไป
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและความสุขในการดำเนินชีวิต
งานวิจัย
งานวิจัย
Com2561 from ChaipunJainan
วีดีโอ
ที่มา
https://www.pobpad.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94
https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80
ที่มา
https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80