แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
รหัสวิชา ง33201-33202 ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5- 6
ปีการศึกษา 2561
ชื่อโครงงาน............................................
โรคความเครียด (Acute Stress Disorder).
ชื่อผู้ทำโครงงาน
1.นายชวิศ ไตรสัตยกุล เลขที่ 13 ชั้น ม.6 ห้อง 5
2.นายชัยพรรณ ใจแน่น เลขที่
14 ชั้น ม.6 ห้อง 5
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดำเนินงาน
ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2561
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต
34
การจัดทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
สมาชิกในกลุ่ม .……
1………นายชวิศ ไตรสัตยก เลขที่…13…… 2…นายชัยพรรณ ใจแน่น ……เลขที่ ……14….
3………………………………….. เลขที่………
คำชี้แจง
ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนข้อเสนอโครงงานตามหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อโครงงาน
(ภาษาไทย)
โรคความเครียด
ชื่อโครงงาน
(ภาษาอังกฤษ)
Acute
Stress Disorder
ประเภทโครงงาน
ชื่อผู้ทำโครงงาน
1.นายชวิศ ไตรสัตยกุล เลขที่ 13 ชั้น ม.6 ห้อง 5
2.นายชัยพรรณ ใจแน่น เลขที่ 14 ชั้น ม.6 ห้อง 5
ชื่อที่ปรึกษา ครูเขื่อนทอง มูลวรรณ์
ระยะเวลาดำเนินงาน ภาคเรียนที่1
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
(อธิบายถึงที่มา แนวคิด และเหตุผล ของการทำโครงงาน)
ปัญหาความเครียดเป็นปัญหาหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เนื่องจากความเครียดส่งผลทางด้านลบทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ประกอบกับสภาพสังคมยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทำให้มีเรื่องที่ต้องกังวลมากมาย ทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจ
โซเซียลเน็ตเวิร์กที่ต้องใช้วิจารญาณในการรับชมในหลายๆเรื่อง
และเยาวชนในปัจจุบันชอบความสะดวกสบายรวดเร็ว
มีความอดทนต่ำเมื่อเจอสถานการณ์ที่บีบคั้นเข้าก็จะ เก็บไปคิดมาก ท้อแท้
หมดอะไรตายอยาก สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุของความเครียดที่มากขึ้นในปัจจุบัน
นำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคมะเร็ง การฆ่าตัวตาย
จึงควรมีการจัดการกับความเครียดที่ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดปัยหาเหล่านี้ขึ้น
วัตถุประสงค์ (สิ่งที่ต้องการในการทำโครงงาน ระบุเป็นข้อ)
1.ค้นหาสาเหตุของความเครียดของคนแต่ละช่วงวัย
2.จัดการกับความเครียดอย่างถูกวิธี
ขอบเขตโครงงาน
(คุณลักษณะ ขอบเขต เงื่อนไขและข้อจำกัดของการทำโครงงาน)
สาเหตุของความเครียดของคนแต่ละช่วงวัยและวิธีจัดการที่ถูกต้อง
หลักการและทฤษฎี
(ความรู้ หลักการ
หรือทฤษฎีที่สนับสนุนการทำโครงงาน)
โรคเครียด (Acute Stress
Disorder) คือ ภาวะที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ร้ายแรง
ซึ่งภาวะดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายและจิตใจ
ผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ซึ่งก่อให้เกิดความเครียด จะเกิดอาการเครียดประมาณหนึ่งเดือน
หากเกิดอาการนานกว่านั้นจะกลายเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ (Posttraumatic
Stress Disorder: PTSD)
โดยทั่วไปแล้ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตราย
ร่างกายจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการสู้หรือหนี (Fight-or-Flight)
ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว
และความดันโลหิตสูงขึ้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดจะรู้สึกกลัว หวาดระแวง
หรือตื่นตระหนกหลังเผชิญสถานการณ์อันตราย ทั้งนี้ อาจรู้สึกวิตกกังวล ว้าวุ่น
และฟุ้งซ่าน หรือฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม
มนุษย์เราจะประสบภาวะเครียดจากสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ
สถานการณ์บางอย่างอาจทำให้คนหนึ่งเกิดความเครียดได้
ในขณะที่อีกคนอาจรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้
และไม่รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อาการของโรคเครียด
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเครียดมักเกิดอาการของโรคทันทีที่เผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
โดยจะเกิดอาการของโรคเป็นเวลานานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ อาการโรคเครียด มีดังนี้
เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงซ้ำ ๆ
ผู้ป่วยจะเห็นฝันร้าย หรือนึกถึงเหตุการณ์ร้ายแรงไม่ดีที่เคยเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
อยู่เสมอ อารมณ์ขุ่นมัว
อารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ป่วยโรคเครียดมักแสดงออกมาในเชิงลบ
ผู้ป่วยจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี มีความทุกข์ ไม่ร่าเริงแจ่มใสหรือรู้สึกไม่มีความสุข มีพฤติกรรมแยกตัวออกมา
ผู้ป่วยจะเกิดหลงลืมมึนงง ไม่มีสติหรือไม่รับรู้การมีอยู่ของตัวเอง
หรือรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง
หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ
ผู้ป่วยจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ สิ่งของ กิจกรรม หรือบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไวต่อสิ่งเร้า
ผู้ป่วยจะนอนหลับยาก โมโหหรือก้าวร้าว ไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
ทั้งนี้ โดยทั่วไป
มนุษย์เรามักเกิดความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวัน
ซึ่งความรู้สึกดังกลาวอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายและอารมณ์บ้าง
ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรม ดังนี้
ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
กล้ามเนื้อหดตัว
ส่งผลให้ปวดหลัง เจ็บขากรรไกร รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับเอ็นตามกล้ามเนื้อ
ร่างกายตื่นตัวมาก
ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออกที่ฝ่ามือ มือเท้าเย็น
เวียนศีรษะ ปวดไมเกรน หายใจไม่สุด และเจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย แรงขับทางเพศลดลง ปวดท้อง
หรือรู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งเกิดจากปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น
กรดไหลย้อน กรดในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องร่วง หรือท้องผูก มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ความรู้สึก วิตกกังวลและฟุ้งซ่าน
รู้สึกกดดันอยู่เสมอ
รวมทั้งตื่นตัวได้ง่ายกว่าปกติ ไม่มีสมาธิ หรือหมดแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ
ซึมเศร้า
อารมณ์แปรปรวนง่าย ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าปกติ
มักโกรธและอาละวาดได้ง่าย
สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ ไม่เข้าสังคม ไม่พบปะผู้คน
รวมทั้งไม่สนใจสิ่งรอบตัว ทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง
สาเหตุโรคเครียด
โรคเครียดมีสาเหตุมาจากการพบเจอหรือรับรู้เหตุการณ์อันตรายที่ร้ายแรงมาก
โดยเหตุการณ์นั้นทำให้รู้สึกกลัว ตื่นตระหนก หรือรู้สึกสะเทือนขวัญ เช่น
การประสบอุบัติเหตุจนเกือบเสียชีวิต การได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
รวมทั้งทราบข่าวการเสียชีวิต ประสบอุบัติเหตุ
หรือการป่วยร้ายแรงของคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ทั้งนี้
เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดโรคเครียดซึ่งพบได้ทั่วไปนั้น
มักเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการออกรบของทหาร ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกโจรปล้น
ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือทราบข่าวร้ายอย่างกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว
นอกจากนี้ โรคเครียดยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย
โดยผู้ที่เสียงป่วยเป็นโรคเครียดได้สูง มักมีลักษณะ ดังนี้
เคยเผชิญเหตุการณ์อันตรายอย่างรุนแรงในอดีต
มีประวัติป่วยเป็นโรคเครียดหรือภาวะเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
มีประวัติประสบปัญหาสุขภาพจิตบางอย่าง
มีประวัติว่าเกิดอาการของโรคดิสโซสิเอทีฟเมื่อเผชิญเหตุการณ์อันตราย
เช่น หลงลืมตัวเองหรือสิ่งต่าง ๆ อารมณ์แปรปรวนกะทันหัน
วิตกกังวลหรือรู้สึกซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคเครียด
ผู้ที่ผ่านการเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรง
อาจเกิดอาการของโรคเครียดได้ อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่เกิดอาการดังกล่าวควรไปพบแพทย์ทั่วไปหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต
เพื่อรับการตรวจและวินิจฉัยสาเหตุ
โดยแพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบหรือได้รับรู้ รวมทั้งสอบถามอาการต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วย ทั้งนี้ เมื่อได้รับการตรวจแล้ว
แพทย์อาจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการป่วยว่า เกิดจากสาเหตุอื่นหรือไม่ เช่น
การใช้สารเสพติด ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางอย่าง ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
หรือโรคทางจิตเวชอื่น ๆ หากอาการที่ผู้ป่วยเป็นไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น
ก็แสดงว่าอาการดังกล่าวอาจเกิดจากโรคเครียด
การรักษาโรคเครียด
วิธีรักษาโรคเครียดคือการรับมืออาการของโรคที่เกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
ผู้ป่วยควรเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว และพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนเพื่อระบายความเครียดอย่างไรก็ตาม
ผู้ป่วยที่เกิดอาการรุนแรงหรือเกิดความเครียดเรื้อรัง
จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ปรึกษาแพทย์
การปรึกษาจิตแพทย์ถือเป็นวิธีรักษาโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเครียดที่เกิดอาการรุนแรงและเป็นมานาน
โดยแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วยรับมือกับสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยจัดการอาการของโรคที่เกิดขึ้นได้
บำบัดความคิดและพฤติกรรม
ผู้ป่วยโรคเครียดที่เกิดความวิตกกังวลและอาการไม่ดีขึ้น จะได้รับการรักษาด้วยวิธีบำบัดความคิดและพฤติกรรม
(Cognitive
Behavioural Therapy: CBT) การบำบัดความคิดและพฤติกรรมเป็นวิธีจิตบำบัดที่มีแนวคิดว่าความคิดบางอย่างของผู้ป่วยส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต
ผู้ป่วยโรคเครียดอาจได้รับการบำบัดระยะสั้น
โดยแพทย์จะพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดของผู้ป่วย
รวมทั้งช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าความคิดบางอย่างนั้นไม่ถูกต้อง
และปรับทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ
ให้มองทุกอย่างได้ถูกต้องและตรงตามความเป็นจริง
ใช้ยารักษา
แพทย์อาจจ่ายยารักษาโรคเครียดให้แก่ผู้ป่วยบางราย
โดยผู้ป่วยมักจะได้รับการรักษาด้วยยาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ
เพื่อบรรเทาอาการปวดของร่างกาย ปัญหาการนอนหลับ หรืออาการซึมเศร้า
โดยยาที่ใช้รักษาโรคเครียด ได้แก่ เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta-Blocker)
ยานี้จะช่วยบรรเทาอาการป่วยทางร่างกายซึ่งเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา
เช่น อาการหัวใจเต้นเร็ว ผู้ป่วยรับประทานเมื่อเกิดอาการป่วย เนื่องจากเบต้า
บล็อกเกอร์ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาระงับประสาท จึงไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง
ส่งผลต่อการทำงานต่าง ๆ หรือทำให้ผู้ป่วยเสพติด
ไดอะซีแพม
(Diazepam)
ยาตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiapines) ซึ่งเป็นยาระงับประสาท แพทย์ไม่นิยมนำมาใช้รักษาผู้ป่วย
เว้นแต่บางกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาไดอะซีแพม
ซึ่งจะใช้รักษาเป็นระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ ยาไดอะซีแพมอาจทำให้ผู้ป่วยเสพติดยา
และประสิทธิภาพในการรักษาเสื่อมลงหากผู้ป่วยใช้ยาดังกล่าวเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ แพทย์อาจจ่ายยาอื่น ๆ
เพื่อบรรเทาอาการของโรค เช่น ยาระงับอาการวิตกกังวล ยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ
(Selective
Serotonin Reuptake Inhibitors: SSRIs) และยาต้านซึมเศร้ากลุ่มอื่น
ๆ หรือรักษาจิตบำบัดด้วยการสะกดจิต (Hypnotherapy) ซึ่งพบในการรักษาไม่มากนัก
ส่วนผู้ป่วยที่เสี่ยงฆ่าตัวตายหรือมีแนวโน้มทำร้ายผู้อื่น
จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเครียด
ผู้ที่เกิดความเครียดเล็ก ๆ
น้อย ๆ เป็นประจำควรดูแลตัวเอง โดยหากิจกรรมอย่างอื่นทำยามว่าง
เพื่อให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งนี้ ผู้ที่เกิดความเครียดเรื้อรังเป็นเวลานาน
อาจประสบปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนี้
โรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
ผู้ป่วยโรคเครียดบางรายอาจมีอาการของโรคนานกว่า 1 เดือน
โดยอาการเครียดจะรุนแรงขึ้นและทำให้ดำเนินชีวิตตามปกติได้ยาก
ซึ่งอาการดังกล่าวจะทำให้ป่วยเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ
ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงไม่ทำให้อาการของโรคแย่ลง ทั้งนี้
ผู้ป่วยภาวะเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญร้อยละ 50
รักษาให้หายได้ภายใน 6 เดือน
ในขณะที่ผู้ป่วยรายอื่นอาจประสบภาวะดังกล่าวนานหลายปี
ปัญหาสุขภาพจิตต่าง ๆ
ผู้ป่วยโรคเครียดที่ไม่ได้รับการรักษา
และมีอาการของโรคเรื้อรังอาจมีปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ เช่น โรคซึมเศร้า
โรควิตกกังวล หรือบุคลิกภาพแปรปรวน
การป้องกันโรคเครียด
โรคเครียดเป็นปัญหาสุขภาพที่ป้องกันได้ยาก
เนื่องจากสถานการณ์อันตรายอันเป็นสาเหตุของโรคเครียดนั้น ควบคุมไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเครียดดูแลตนเองและจัดการอาการของโรคไม่ให้แย่ลงได้
โดยปฏิบัติ ดังนี้
หลังจากเผชิญสถานการณ์ร้ายแรง
ต้องรีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อช่วยลดโอกาสป่วยเป็นโรคเครียด
ผู้ที่ประกอบอาชีพซึ่งเสี่ยงเผชิญสถานการณ์อันตราย
เช่น ทหาร อาจต้องเข้ารับการฝึกซ้อมรับมือเหตุการณ์อันตรายและปรึกษาจิตแพทย์
เพื่อเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวและลดโอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคเครียด
ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ฝึกหายใจลึก
ๆ ทำสมาธิ เล่นโยคะ หรือนวด เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย รวมทั้งทำจิตใจให้แจ่มใส
พบปะสังสรรค์กับเพื่อน
หรือพูดคุยกับครอบครัว
หางานอดิเรกทำในยามว่าง
เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
รวมทั้งงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ
วิธีดำเนินงาน
แนวทางการดำเนินงาน
1.กำหนดหัวข้อโครงงาน
2.นำเสนอหัวข้อต่อครูผู้สอน
3.รวบรวมข้อมูล
4.จัดทำรายงาน
5.ตรวจสอบข้อมูล
6.นำเสนอผลงาน
7.ปรับปรุงแก้ไข
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
1.อินเตอร์เน็ต
2.คอมพิวเตอร์
3.โทรศัพท์
งบประมาณ
200
บาท
ขั้นตอนและแผนดำเนินงาน
ลำดับ
ที่
|
ขั้นตอน
|
สัปดาห์ที่
|
ผู้รับผิดชอบ
|
|||||||||
1
|
2
|
3
|
4
|
5
|
6
|
7
|
8
|
9
|
10
|
|||
1
|
คิดหัวข้อโครงงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
2
|
ศึกษาและค้นคว้าข้อมูล
|
/
|
/
|
ชัยพรรณ
|
||||||||
3
|
จัดทำโครงร่างงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
4
|
ปฏิบัติการสร้างโครงงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
5
|
ปรับปรุงทดสอบ
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
6
|
การทำเอกสารรายงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
7
|
ประเมินผลงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
|||||||||
8
|
นำเสนอโครงงาน
|
/
|
ชัยพรรณ
|
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถจัดการกับความเครียดของตนได้อย่างถูกวิธี
สถานที่ดำเนินการ
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์
2.กลุ่มสาระสุขศึกษาพลศึกษา
แหล่งอ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น